วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 
 

สะ-วี-ดัด และ สะ-วัด-ดี ชาวบล็อกที่น่ารักทุกคน
จากบทความก่อนหน้านี้ปลายได้ให้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์กันไปแล้ว และในครั้งนี้เราก็ยังคง “วนเวียน-เวียนวน” กันต่อในเรื่องของสื่อสิ่งพิมพ์กันเช่นเคย ก็เพราะว่าสื่อสิ่งพิมพ์นี้มีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างเรา ๆ มากมาย ว่าแต่ไอ้เจ้าสื่อสิ่งพิมพ์นั้นมี “ความสำคัญ”  ยังไงกันน้า??? ทุกคนคงอยากรู้กันแล้วใช่มั้ย งั้นเราไปดูกันเลยค่ะ
 
 
 
 
 
 
 


สื่อสิ่งพิมพ์นั้นมีประวัติความเป็นมาควบคู่ไปกับมนุษยชาติมาอย่างยาวนาน  เป็นสื่อมวลชนประเภทหนึ่งที่มีอิทธิพลมาตลอดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั่นเอง และเป็นสิ่งที่เก็บรักษาสืบทอดจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนรุ่นหลัง สื่อสิ่งพิมพ์นี้มิได้เป็นเพียงวัสดุธรรมดาทั่ว ๆไป แต่เป็นวัสดุที่สุดแสนวิเศษ โดยช่วยให้ประโยชน์อย่างมากมายสำหรับผู้อ่าน และมีอิทธิพลต่อสังคมในหลากหลายด้าน   ดังต่อไปนี้
 
 
 
 



 
จากอิทธิพลข้างต้นที่นับวันจะมีมากขึ้นตามกาลเวลา จนในยุคปัจจุบันชนรุ่นหลังได้สานต่อความคิดเรื่องการพิมพ์จนกระทั่งกลายเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย  และซับซ้อน สามารถผลิตสิ่งพิมพ์ได้หลากหลายชนิดตอบสนองวัตถุประสงค์ของมนุษยชาติได้อย่างกว้างขวาง นอกเหนือจากสื่อสิ่งพิมพ์จะเป็นสื่อมวลชนที่มีความเก่าแก่กว่าสื่อมวลชนประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรืออินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นสื่อประเภทหนึ่งที่มีการใช้แพร่หลายไปทั่วโลกเช่นในปัจจุบันก็ตาม แต่สื่อสิ่งพิมพ์ก็ยังเป็นสื่อที่มีการใช้อย่างแพร่หลายเป็นที่นิยมของทุกชนชาติมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทใดก็ตาม  เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร แผ่นใบปลิว หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ
 



ด้วยความที่สื่อสิ่งพิมพ์มีอิทธิพลต่อสังคมเราเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเกิดพฤติกรรมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต ปลายเลยอยากจะเสนอสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทหนึ่งที่ปลายกำลังสนใจอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือสื่อสิ่งพิมพ์ประเภทนิตยสารค่ะ
 
 
นิตยสารที่ปลายนำมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านในวันนี้
จะเป็นนิตยสารเล่มไหนกันนะ???
จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้าง?
ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก
ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก
แท่น แท่น แท้นนน
นั่นก็คือ.......
  
 
 

 
  
 
เนื้อหานิตยสารจะประกอบไปด้วย.......... 

 
 
 
 
 
 
 
 




 
 
 
 



              เนื้อหาในหนังสือนิตยสารเล่มนี้จะเน้นหนักไปในเรื่องของแฟชั่น การแต่งหน้า การทำผม การโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ และมีเนื้อหาสาระของเรื่องสุขภาพ อาหาร ภาพยนตร์ และดนตรีแทรกเพียงเล็กน้อย เพื่อความหลากหลายของเนื้อหาในนิตยสาร





           สาเหตุที่ปลายเลือกนิตยสารเล่มนี้มาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะก็เพราะว่า Ray Magazine เล่มนี้ กำลังได้รับความนิยม และมีอิทธิพลต่อกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้       แท้จริงแล้วเหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้อ่านอายุ 18 ปีขึ้นไป เพราะว่าจะเน้นไปในเรื่องของการแต่งหน้า การทำผม และแฟชั่นที่เป็นที่นิยม ซึ่งกลุ่มคนอายุ 18 ปีขึ้นไปนั้น ย่อมมีความคิด มีวิจารณญาณในการตัดสินใจที่จะเสพหนังสือเล่มนี้ได้อย่างพอเหมาะพอควร และสามารถปรับใช้กับชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการเสริมสร้างบุคลิกภาพของตนเอง                                   
               แต่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบันนี้ก็คือ จำนวนของผู้อ่านหนังสือประเภทนี้จะ       อายุต่ำกว่า 18 ปีมากขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเสี่ยงต่อการถูกทำลายความเป็นเด็ก โดยการเสพหนังสือนิตยสารความสวยความงามมากจนเกินควร และเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นอย่างขาดวิจารณญาณ ย่อมเกิดผลเสีย กล่าวคือในสังคมปัจจุบันเรามักจะพบเห็นเด็กนักเรียนบางคนนั้นประพฤติผิดกฎของโรงเรียนบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น การแต่งหน้าไปเรียน การทำสีผม การทำทรงผมแปลกๆ การใส่กระโปรง และ     ถุงเท้าสั้น ฯลฯ  จากพฤติกรรมของเด็กเหล่านี้ถือว่าเป็นการการทำที่กระชากความเป็นเด็กออกจากตนเอง โดยการรับเอาสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับวัยของตนเข้ามามากจนเกินควร จนกลายเป็นสิ่งครอบงำให้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นได้         
              ดังนั้น การที่เราจะอ่านนิตยสารความสวยความงาม และกระทำตามในนิตยสารนั้นมิใช่เรื่องผิดนะคะ แต่เราควรอ่านอย่างมีวิจารณญาณ รู้จักคิดก่อนเลือกกระทำในสิ่งที่เหมาะสมกับกาลเทศะ และวัฒนธรรมของสังคม อีกทั้งต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของวัยอีกด้วย เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถเสพนิตยสารเหล่านี้ได้อย่างไร้พิษภัย และมีความสุขในการดำเนินชีวิตค่ะ
 
 
 
 
หมดเวลาแล้วสิ
หมดเวลาแล้วสิ
วันนี้ปลายต้องขอเล่าเรื่องสาระดีดีเพียงเท่านี้นะคะ
แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า จะเป็นเรื่องอะไรกันนะ??
ต้องคอยติดตามชมกันนะคะ...
บ้ายบายยย >_<

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เล่าเฟื่อง เรื่อง "สิ่งพิมพ์"



          วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำจะนองเต็มตะลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง เอ้า!! ลอยลอยกระทง ลอยลอยกระทง ลอยกระทงมาแล้วขอเชิญชาวบล็อกออกมารำวง ฮิ้ววว สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะชาวบล็อกที่น่ารักทุกคน วันนี้ถือเป็นวันสุดพิเศษวันหนึ่งเลย เพราะว่าวันลอยกระทงเป็นวัฒนธรรมดึกดำบรรพ์(เก่าแก่)ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา  เอ๋!! ว่าแต่ชาวบล็อกเคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทำไมจึงต้องลอยกระทง คำตอบก็คือการลอยกระทงนั้นถือเป็นประเพณีที่จัดขึ้นเพื่อขอขมาพระแม่คงคาไงล่ะคะ แล้ววันนี้ใครไปลอยกระทงมากันมั่งเอ่ย?? ส่วนตัวผู้เขียนนั้นไปลอยมาเรียบร้อยแล้ว กระทงคงจะหลงทางหารักไม่เจอไปแล้ว เพราะลอยคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจในสไตล์สาวโสดค่ะ ขอฉลองในความโสดของตัวเอง ฮิ้วววว 555  ตั้งสติหนอ สติหนอ หยุดเพ้อหนอ ก่อนที่ตัวผู้เขียนจะพร่ำเพ้อนอกเรื่องไปมากกว่านี้ขอเข้าเรื่องสาระดีดีที่นำมาฝากชาวบล๊อกกันดีกว่าค่ะ
 
 
          เชื่อว่าในชีวิตประจำวันของทุกคนคงเคยเห็นสื่อสิ่งพิมพ์มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะตามถนนหนทาง ห้างสรรพสินค้า และสวนสาธารณะ ซึ่งสื่อสิ่งพิมพ์ตามความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ก็จะหมายถึง ผลิตผลที่เกิดขึ้นมาจากกระดาษ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ แผ่นพับ นิตยสาร และวารสาร เป็นต้น แต่แท้จริงแล้วสื่อสิ่งพิมพ์ไม่ได้จำกัดเพียงแค่เป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นมาจากกระดาษเพียงเท่านั้น แต่สื่อสิ่งพิมพ์เกิดมาจากผลิตผลที่มากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ผ้า การพิมพ์เหรียญ และการพิมพ์โลโก้สินค้า เป็นต้น
          กล่าวโดยสรุปนะคะว่า “สื่อสิ่งพิมพ์” ก็หมายถึง สิ่งที่พิมพ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระดาษหรือวัตถุใดๆ ด้วยกรรมวิธีการต่างๆ อันเกิดเป็นชิ้นงานที่มีลักษณะเหมือนต้นฉบับขึ้นหลายสำเนาในปริมาณมาก เพื่อเป็นสิ่งที่ทำการติดต่อ หรือชักนำให้ผู้อื่นได้เห็นหรือทราบข้อความต่างๆค่ะ
 

 
          ชาวบล็อกทุกคนคงได้ทราบ และเข้าใจความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์กันไปแล้ว ที่กล่าวถึงความหมายไปข้างต้นนั้นก็เพื่ออยากที่จะให้ชาวบล๊อกได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสื่อสิ่งพิมพ์ที่เราส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดกันมาตลอด และในวันนี้ผู้เขียนก็นำสื่อสิ่งพิมพ์ที่ประทับใจตั้งแต่แรกพบสบตา(เว่อร์ไปนิด) มาฝากชาวบล็อกกัน สื่อสิ่งพิมพ์ชิ้นนี้เกี่ยวกับน้ำ ซึ่งเหมาะเจาะกับวันลอยกระทงพอดีเป๊ะ ไปดูกันเลยค่ะว่าสื่อชิ้นนี้คืออะไร
 
 
 
 
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง The imposible
           ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับน้ำค่ะ 555 ที่เกี่ยวก็เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ภัยพิบัติสุดช็อกโลกที่ไม่มีใครอยากเจออย่าง สึนามิที่ซัดถล่มประเทศไทยเรา โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อปี 2004 เป็นเหตุให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นเรื่องราวของครอบครัว ๆ หนึ่งที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยทั้งหมดกำลังเล่นน้ำในสระว่ายน้ำของโรงแรมกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะช่วงเวลานั้นได้มีคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่จากท้องทะเล โหมตรงมายังโรงแรมที่พวกกำลังพักผ่อนกันอยู่ จึงทำให้ทั้งครอบครัวต้องจมอยู่ใต้คลื่นยักษ์นั้นไปในที่สุด แต่ด้วยเรื่องของโชคชะตาและความโชคดีหลาย ๆ อย่าง จึงทำให้ผู้เป็นแม่สามารถมีชีวิตรอดจากคลื่นยักษ์นั้นได้ แต่หลังจากนั้นเธอเองก็ต้องออกตามหาลูกๆ รวมถึงสามีของเธอ รวมทั้งยังต้องตั้งสติและเตรียมทำใจไว้ล่วงหน้า เพื่อรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้วย                                                                                                             
          ผู้เขียนเองไม่รู้ตอนจบของเรื่องนี้หรอกนะคะว่าครอบครัวนี้จะมีชีวิตรอดจากภัยพิบัตินี้หมดทุกคนหรือไม่ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าโรงในวันพรุ่งนี้ค่ะ เลยยังไม่ทราบตอนจบ 555 ส่วนตอนจบนั้นจะเป็นยังไงไม่ใช่ประเด็นสำคัญในวันนี้ สิ่งที่ต้องการจะสื่อให้ชาวบล๊อกได้เห็นก็คือโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ระทับใจผู้เขียนอย่างไร
 
 
 
 
          เหตุผลสำคัญที่ชอบโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่อง The impossible นี้เพราะว่าทุกรูปภาพในโปสเตอร์นั้นสื่อออกมาให้เห็นถึงความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความห่วงใยและความรักของครอบครัวที่มีให้แก่กัน รวมถึงการพลัดพรากจากกันที่สร้างความเศร้าให้แก่ผู้ที่ดูภาพ ความรู้สึกต่างๆทั้งหมดนั้นล้วนสื่อออกมาผ่านรูปภาพได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เมื่อมองโปสเตอร์แล้วทำให้เกิดความรู้สึกทั้งประทับใจกับความรัก และรู้สึกเสียใจกับความพลัดพราก จึงทำให้ผู้เขียนประทับใจสุดๆไปเลยค่ะ ว่าแต่จะมีชาวบล๊อกคนไหนเมื่อมองโปสเตอร์แล้วประทับใจเหมือนกันบ้างมั้ยน้า?? 55

 









หมดเวลาแล้วสิ....หมดเวลาแล้วสิ....หมดเวลาแล้วสิ
          หวังว่าสาระดีดีที่นำมาให้ชาวบล็อกได้อ่านกันในวันนี้คงจะสร้างความรู้เพิ่มเติมไม่มากก็น้อย ได้รู้ความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์แล้วก็อย่าลืมให้ความสำคัญกับสื่อสิ่งพิมพ์กันด้วยนะคะ เพราะว่าสื่อประเภทนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมากในการดำรงชีวิตของเรา ทั้งให้ข่าวสาร ให้ความรู้ ความบันเทิง และเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆอีกด้วย อย่าลืมสำรวจ หรือสังเกตสิ่งพิมพ์ที่อยู่รอบตัว และหยิบขึ้นมาอ่าน-มาดูกันนะคะ วันนี้ขอพักสาระดีดีไว้เท่านี้ก่อน แล้วมาพบกันใหม่ สะวีดัด สวัสดีค่ะชาวบล๊อกทุกคน ^_^ บ้ายบายยยยยยย

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"มาตรวจภายใน" กันเถอะ

 
     

      
          สวัสดีค่ะชาวบล็อกทั้งหลาย ห่างหายการอัพเดทไปเป็นแรมเดือน คิดถึงกันบ้างมั้ยเอ่ย?? 555 แต่การหายตัวไปคราวนี้นะ ไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน วันนี้เลยมีเรื่องดี เรื่องเด็ดมาฝากเหล่าชาวบล็อกกันเช่นเคย                     
         
          เหลียวซ้าย แลขวา แล้วกลับขึ้นไปมองหัวข้อการสนทนาของเราในวันนี้ ที่ว่าด้วยเรื่อง “มาตรวจภายในกันเถอะ” (นิ่งไปสักพัก) ฮั่นแน่..กำลังคิดอะไรอยู่เอ่ย อย่าเพิ่งคิดไปไกล อย่าเพิ่งๆ ไม่ใช่แบบนั้นนะ (ฮา) จากหัวข้างต้นนี้ก็คือ ส่วนหนึ่งของชื่อหนังสือที่จะมาแนะนำให้ชาวบล็อกรู้จักกันในวันนี้

 





          นั่นก็คือหนังสือเรื่อง “ตรวจภายใน” ค่ะ หลายคนอาจจะรู้สึกแปลกใจและงุนงงสงสัยว่าผู้เขียนหนังสือบ้าไปแล้วหรือเปล่า ทำไมตั้งชื่อเรื่องพิกลแบบนี้ เพราะชื่อเรื่องอาจจะส่อในเรื่องสุขอนามัยของสุภาพสตรีไปซะหน่อย 555 แต่ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน และตีลังกายัน(เริ่มจะเมื่อย) เลยนะคะว่าไม่เกี่ยวกันเลยสักนิดเดียว ถึงตอนนี้ชาวบล็อกอาจสงสัยอีกว่า เอ๋!! แล้วสรุปเนื้อหาหนังสือเล่มนี้มันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ ถ้าไม่ตรวจภายในร่างกายคนแล้วตรวจอะไร คำเฉลยก็คือ สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ชวนคุณตรวจไปด้วยกันคือตรวจว่า “เรากำลังใช้ชีวิตแบบไหน” ต่างหากล่ะ                              


          หนังสือเล่มนี้แต่งโดย “คุณนิ้วกลม”  ขอแนะนำนักเขียนชื่อดังผู้นี้สักหน่อยละกัน(ชอบเป็นการส่วนตัว) จากการอ่านหนังสือของเขาคนนี้เล่มแล้วเล่มเล่า(ก็ประมาณ 4 เล่ม)  เขาคนนี้มีปลายปากกาที่ชวนให้น่าประทับใจเสมอ  
อย่างหนังสือที่นำมาแนะนำในวันนี้ก็ยังคงไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย มันยอดเยี่ยมมาก จะเห็นได้จากหลายๆบทความของหนังสือเรื่อง “ตรวจภายใน” เล่มนี้นั้น ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องที่ยากในการที่จะเขียนเล่าออกมาให้สนุก แต่พอเรื่องเหล่านี้มาอยู่ในมือของเขา กลับ “เอาอยู่” มันสนุกอย่างน่าทึ่ง ไม่เชื่อก็ลองไปซื้อมาอ่านกันนะคะ(ขายของซะหน่อย) จะมีใครที่เขียนเรื่อง “น้ำปลาพริก พริกน้ำปลา หรือเล่าเรื่องกระแส “ชิมิชิมิ” อย่างชวนคิด หมดจด และกินใจได้เท่าเขาอีก (ไม่มี๊ ไม่มี!!!)         





                                                                                            
          ผลงานจากความช่างคิดนี้ ช่วยสะกิดปลุกผู้อ่านให้ “ตื่น” ขึ้นมาสำรวจ “ตรวจภายใน” ของกระแสการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของสังคมโลกยุคดิจิตอล (ซึ่งก็คือยุคปัจจุบันของเราๆนี่เองล่ะคะ) อย่างอาการหิว Like โหย Comment คลั่งสะสม Friend ทุ่มเทอัพ Status บ้าถ่ายรูป กระแสแพลงกิ้ง ชิมิชิมิ ไปจนถึงปรากฏการณ์ในสังคมอย่างการกระหายข่าวดารา การต่อแถวยาวซื้อโดนัท การแจกถุงผ้า การอยู่คอนโดฯ การดูผี รวมถึงเรื่องน่ารักๆ อันได้แก่      ชุดนักศึกษารัดติ้ว สาวแอ๊บแบ๊วบิ๊กอาย นมตู้ม และกิ๊ก!!!! (ฮา)    

          ในหนังสือเล่มนี้ มีเนื้อหาบางตอนที่ทำให้อดคิดถึงสังคมไทยในภาพรวมไม่ได้ อย่างเช่นบทความเรื่อง “คอนโดฯ คนเดียว” นิ้วกลมกล่าวถึง “ทักษะในการอยู่ร่วมกัน” ภายในบ้านที่หายไปในวิถีชีวิตแบบคอนโดฯ ซึ่งทักษะดังกล่าวน่าจะเป็นคำตอบหนึ่งของปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ เพราะวิถีชีวิตแบบบ้านนั้นสอนวิธีการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่การอยู่คอนโดฯ คนเดียว “ไม่มีให้” ทางออกของปัญหานี้อาจเริ่มได้โดยการ “ถอนหูฟังของตนเองออกบ้าง ลองยืมหูฟังจากเครื่องของคนอื่นมายัดใส่หูของเรา แล้วลองฟังอย่างตั้งใจ” นั่นคือ “ออกจากโลกของฉันไปอยู่โลกของเธอดูบ้าง” ซึ่ง “จะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่สำคัญ อย่างน้อยก็เข้าใจกันมากขึ้น”                                              

          หรือในบทความ “โลกอินเทอร์เน็ตกว้างหรือแคบ” ที่นิ้วกลมตั้งข้อสังเกตว่า โลกอินเทอร์เน็ตสำหรับบางคนนั้นแคบกว่าโลกความจริงเสียอีก หากเอาแต่อยู่ในพื้นที่เคยชินโดยเลือกอยู่กับคน “คล้ายๆกัน” จนไม่คุ้นเคยกับ                  ความแตกต่างหรือความหลากหลาย “ซึ่งน่าเสียดายแทนบางคนที่เลือกจะมีเพื่อนเพียงบางแบบเท่านั้น”  




                                                                                                                                                    

          หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนมาเพื่อ “ตรวจภายใน” สังคมไทย และ “ตรวจภายใน” จิตใจของตนเอง ซึ่งเมื่อได้อ่านแล้วทำให้เรามองเห็นมุมมองใหม่ และได้แง่คิดในการดำรงชีวิตมากขึ้น

               มีคำพูดหนึ่งที่ คาร์ล ยุง นักจิตวิทยาคนสำคัญได้กล่าวไว้ว่า            
               Who looks outside, dreams; who looks inside, awakes.                                                                
            หากอยากตื่น เราคงต้องตรวจสอบเข้าไป “ภายใน”
            ผู้เขียนบล็อกก็คิดว่า เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว การมองออกไป ข้างนอก” ก็สำคัญไม่แพ้กัน    
 

  

หมดเวลาแล้วสิ
หมดเวลาแล้วสิ
หมดเวลาแล้วสิ......
หวังว่าหนังสือที่เอามาฝากชาวบล็อกกันวันนี้คงจะน่าสนใจไม่น้อย
จนอดใจไม่ได้ที่จะลองอ่านมันสักครั้ง รับประกันเลยว่า "แจ่มว้าว" อย่างแน่นอน 
ตอนนี้ก็สมควรเวลาแห่งการนอนแล้วผู้เขียนบล็อกขอตัวไปซบหมอน นอนเสื่อ กอดหมอนข้างก่อนนะ
(ฝันดีค่ะชาวบล๊อกที่น่ารักทุกคน)            

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"คำไทย-ใครทำ"


 



ฮัลโหลเทส....

          สวัสดีชาวบล๊อกทุกคนค่ะ เมื่ออาทิตย์ก่อนตัวผู้เขียนบล็อกเองได้มีโอกาสไปแวะเวียนเยี่ยมชมที่ศูนย์บริการสื่อและเทคโนโลยีการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้พบกับสื่อการสอนมากมายหลากหลายวิชา ซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นสื่อที่หลากหลายรูปแบบ มีความสวยงาม อีกทั้งยังสร้างประโยชน์ต่อการเรียนการสอนได้โดยการเป็นผู้ช่วยของครูผู้สอนในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนให้มีความน่าสนใจ และสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้การเรียนเป็นไปอย่างสนุกสนาน

          หลังจากที่ได้ลองศึกษา และทดลองเล่นสื่อการสอนที่ศูนย์แห่งนี้เกือบแทบทั้งหมด แต่มีสื่อชิ้นหนึ่งที่ชอบเป็นพิเศษ จึงอยากที่จะมานำเสนอให้ชาวบล๊อกได้รู้จักกัน สื่อชิ้นนี้ก็คือ............




      
           
          สื่อการสอนชุด คำไทย-ใครทำนี้ เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สื่อชุดนี้สอนในเรื่องของการสร้างคำในภาษาไทย เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสร้างสรรค์ เกิดความสุข และความสนุกสนานในการเรียน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าใจ และจดจำได้ดีกว่าการเรียนแต่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว



 

               
          เนื่องจากสื่อการสอนชุด คำไทย-ใครทำนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ในครั้งนี้จึงได้ทำวีดิโอคลิปเพื่อนำเสนอสื่อการสอนชุดนี้ให้ชาวบล๊อกทุกคนได้รับชม และรับฟังกันไว้เป็นแนวคิดดีๆสำหรับการผลิต และพัฒนาสื่อการสอนในอนาคต หากชาวบล๊อกได้มีโอกาสผลิตสื่อการสอนเพื่อการศึกษา งั้นเราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า สื่อการสอนชุดนี้มีลักษณะ วัตถุประสงค์ วิธีการเล่น และมีประโยชน์อย่างไรกัน ไปกันเล้ย.........





วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สมาร์ทโฟนกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21





       HELLO สวัสดี กระผมนี้จะบอก ว่าวันนี้ผมมีความสุข ^_^


           สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เป็นวันธรรมดาที่แสนพิเศษอีกวันหนึ่ง เพราะว่าปลายมีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนได้อ่านอีกแล้ว เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษาที่ใกล้ตัวเราทุกคนมากเลยทีเดียว ถ้านึกถึงคำว่า "ใกล้ตัว" แล้วนั้นต้องนึกถึงสถานที่ที่เราใช้เวลาอยู่มากที่สุดในแต่ละวัน นั่นก็คือ "บ้าน" นั่นเองค่ะ เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนคงจะมีอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริม และอำนวยความสะดวกทางการศึกษาอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ ซีดีรอม คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน เป็นต้น สิ่งที่ปลายจะนำเสนอในวันนี้แน่นอนว่าอยู่ในเทคโนโลยีที่ได้ยกตัวอย่างไว้ข้างต้นแล้ว ในที่สุด...ผู้โชคดีในวันนี้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาดีเด่นก็คือ....แท่น..แทน..แท๊น.. "สมาร์ทโฟน"  ^__^










“มารู้จักกับสมาร์ทโฟนกันเถอะ”   
          สมาร์ทโฟน (smartphone) เป็นโทรศัพท์สำหรับพกพา ที่มีความสามารถที่พิเศษนอกเหนือจากโทรศัพท์มือถือทั่วไป สมาร์ทโฟนได้ถูกมองว่าเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่ทำงานในลักษณะของโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยที่สามารถเชื่อมต่อความสามารถหลักของโทรศัพท์มือถือ เข้าร่วมกับแอปพลิเคชันของโทรศัพท์เอง สมาร์ทโฟนสามารถให้ผู้ใช้งานติดตั้งโปรแกรมเสริมสำหรับเพิ่มความสามารถของโทรศัพท์ตัวเอง โดยรูปแบบนั้นขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มของโทรศัพท์และระบบปฏิบัติการ

          สรุปอย่างง่ายๆ ก็คือ  สมาร์ทโฟนก็โทรศัพท์ที่รองรับระบบปฏิบัติการต่างๆ ที่ยกเอาคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์มาไว้ในโทรศัพท์ ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับโทรศัพท์มือถือของทุกคนให้สามารถ ฟังเพลง ดูหนัง ค้นหาข้อมูล อ่านหนังสือออนไลน์ และรวมไปถึงการเพิ่มโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเสริมต่างๆลงไปได้





“ยุคของสมาร์ทโฟน”









      “ระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟนที่เป็นที่นิยม”








              * Apple  มี iPhone, iPad, Mac Book Pro, iMac, Apple TV
* Google  มี Android Phone, Android Tablet, Chrome Netbook, Google TV 
* Microsoft   มี Windows Phone 7, Windows 7 Tablet, Windows 7 PC, Xbox 
* RIM  มี BB, Playbook 
* Nokia  มี Symbian Phone, Maemo Tablet ซึ่งกำลังจะกลายเป็น MeeGo Tablet,    MeeGo Net book 
* HP  มี WebOS phone, WebOS tablet
          ในปัจจุบันยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกนั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้บรรดาผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ และอินเทอร์เน็ตต้องคิดหากลยุทธ์แปลกใหม่มาเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำกิจกรรมบนโลกออนไลน์








“คุณสมบัติของสมาร์ทโฟนมีอะไรบ้าง”  

      1.การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไร้สาย
               เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง เช่น การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์  PDA  โทรศัพท์เครื่องอื่น  พริ้นเตอร์  หรือกล้องดิจิตอล โดยเชื่อมต่อผ่านทางอินฟราเรด บลูทูธ หรือ Wi-Fi                                             
      2.สามารถรองรับไฟล์ Multimedia
               ไฟล์ Multimedia มีหลากหลายรูปแบบ เช่น ไฟล์ภาพ, ภาพเคลื่อนไหว เช่นภาพเคลื่อนไหวสกุล .gif  ,ไฟล์เสียง ซึ่งก็จะมีหลายรูปแบบ เช่น ไฟล์ Wave, MP3, Midi  และไฟล์วิดีโอ ซึ่งจะสามารถรองรับภาพเคลื่อนไหว หรือภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง เช่นสกุล .3gp .mp4 เป็นต้น 
   




“ประโยชน์ของสมาร์ทโฟนที่นำมาใช้”

             ผลการสำรวจของ Nielsen ในอังกฤษ เทียบ Q2/Q3 2009 พบว่าคนใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น 10%  (5.6M to 6.2M) สมาร์ทโฟนตอนนี้มีส่วนแบ่งตลาดในอังกฤษประมาณ 15%  เพราะฉะนั้นมาดูกันว่าเมื่อมีสมาร์ทโฟนแล้วเอามาทำอะไรได้บ้าง (นอกจากการโทร) ดูได้จากตาราง





            จะเห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตนั้นได้รับความนิยมมาเป็นอันดับหนึ่ง ก็อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้โลกของเราได้เปิดกว้าง จึงทำให้ผู้คนนั้นสามารถที่จะติดต่อสื่อสารกัน ค้นหาข้อมูลสถานที่ การสั่งซื้อของ รวมไปถึงการใช้เพื่อส่งเสริมการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ค้นหาคำศัพท์ ค้นหาข้อมูล ศึกษาโดยผ่านวิดีโอ เป็นต้น











ข้อเสียของสมาร์ทโฟน
   
          ด้านผลการศึกษาของโมบายล์ มายด์เซ็ต พบว่า เจ้าของมือถือแทบทุกคน หรือราว 94% กังวลว่าโทรศัพท์มือถือของตนจะหายไป และราว 73% มีความไม่สบายใจเมื่อวางโทรศัพท์มือถือไว้ผิดที่ผิดทาง แต่มีแค่เพียง 6% ที่วิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในการเข้าถึงบัญชีด้านการเงินของตัวเอง และในขณะที่ 38% ห่วงประเด็นเรื่องการเงิน และความยุ่งยากจากการต้องซื้อใหม่หลังเครื่องเก่าสูญหา
          แม้ว่าสมาร์ทโฟนจะช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น  แต่ในบางครั้งก็ส่งผลทำให้เจ้าของนั้นเสียสมาธิ รวมทั้งมีพฤติกรรมที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว  ยกตัวอย่างเช่น การส่งข้อความขณะขับขี่รถ โดยราว 1 ใน 4 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนยอมรับว่าแอบเช็คมือถือในระหว่างนั่งหลังพวงมาลัย
          นอกจากนี้ ยังค้นพบอีกหลายพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากการใช้สมาร์ทโฟน โดยเกือบ 60% ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนอดใจไม่ได้ครบ 1 ชั่วโมง ก็ต้องหยิบมือถือมาเช็คเป็นระยะๆ ส่วน 54% มีภารกิจเช็คมือถือแม้จะอยู่บนเตียงนอน ไม่ว่าจะก่อนหลับ หลังจากตื่นนอน หรือระหว่างค่ำคืน และเกือบๆ 40% ยอมรับว่าแอบใช้มือถือในระหว่างเข้าห้องน้ำ อีก 30% เช็คโทรศัพท์ระหว่างกินข้าวกับคนอื่น และ 9% ยังไม่วายใช้มือถือในระหว่างประกอพิธีทางศาสนา







                      
Smart phone กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” 
           การเรียนรู้ในศตวรรษที่21 ก็คือโลกแห่งการเรียนรู้ของยุคโลกาภิวัฒน์ กล่าวคือเทคโนโลยีต่างๆได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก   ทำให้รูปแบบการศึกษาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เกิดการพัฒนาการเรียนการสอนในรูปแบบต่างๆ ทำให้การเรียนการสอนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการนำสื่อทางเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการสร้างความรู้ความสามารถ และพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ





          "สมาร์ทโฟน" สื่อกลางในการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21"
          การเรียนการสอนในรูปแบบเดิมๆนั้น จะถูกปรับเปลี่ยนให้เกิดรูปแบบการศึกษาใหม่ๆด้วยการนำเอาสมาร์ทโฟนมาเป็นตัวช่วยของคุณครู และนักเรียนได้ ดังต่อไปนี้

                  "ตัวช่วยของผู้สอน"
                  * ครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนค้นหาข้อมูลเรื่องที่เรียนผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
                     บนเครื่องสมาร์ทโฟนของผู้เรียนเอง
                  ครูผู้สอนใช้สมาร์ทโฟนของตนมาเป็นสื่อกลางในการเรียนการสอน ตัวอย่างเช่นการเปิดคลิปวิดีโอ 
                     บทเพลง หรือรูปภาพ ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอน โดยเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับคอมพิวเตอร์
                     และส่งต่อสื่อการเรียนการสอนไปยังโปรเจ๊คเตอร์ เพื่อให้ผู้เรียนได้รับสื่ออย่างทั่วถึง
                  ครูผู้สอนสามารถศึกษาหาความรู้ที่จะมาสอนนักเรียนได้ โดยศึกษาผ่านทางแอปพลิเคชั่นเสริม ซึ่งใน
                     ปัจจุบันนั้น แอปพลิเคชั่นทางการศึกษาบนสมาร์ทโฟนนั้นได้รับการรองรับแล้วว่ามีเนื้อหาที่เป็น
                      ประโยชน์ และมีความถูกต้อง
     
                  "ตัวช่วยของผู้เรียน"
                  * ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้นอกโรงเรียนซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยการค้นหาข้อมูลเนื้อหาที่เรียน
                     ด้วยตนเอง
                 * ผู้เรียนสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นทางการศึกษาเพื่อศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้วยตนเอง
                   ได้ เช่น Dictionary , Tenseในภาษาอังกฤษ , สูตรทางคณิตศาสตร์ , รวมถึงเกมส์ต่างๆที่ส่ง
                    เสริมทักษะทางการเรียนรู้ เป็นต้น






             จะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนนั้นช่วยสร้างความสุข และความสะดวกสบายให้กับการดำเนินชีวิตของเราเป็นอย่างมาก  อีกทั้งยังมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษาอีกด้วย ซึ่งสมาร์ทโฟนนั้นเป็นเครื่องมือที่เราสามารถใช้งานได้ตลอดเวลา เสมือนเป็นเพื่อนชีวิตของเราทุกคนเลยก็ว่าได้  แต่ปลายก็อยากจะให้ทุกคนระลึกอยู่เสมอว่า  เทคโนโลยีนั้นมีไว้ให้ใช้  ต้องเตือนใจไม่ให้เกินพอดี ” นั่นคือการใช้เทคโนโลยีไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่หากจะโดยไม่ส่งผลเสียต่อตัวเรา และไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นนั้น เราจะต้องใช้เทคโนโลยีให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ และถูกกาลเทศะ

          สำหรับเรื่องเล่าของปลายในวันนี้ก็จบลงแล้วนะคะชาวบล๊อกทุกคน ไว้โอกาสหน้าจะมาเล่าเรื่องสนุกมีสาระให้ได้อ่านกันอีกอย่างแน่นอน สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์...ฝันดีกันทุกคนค่ะ ^___^